วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พัฒนาการเครื่องปั้นดินเผา หมู่บ้านน้ำคำน้อย

    พัฒนาการเครื่องปั้นดินเผา หมู่บ้านน้ำคำน้อย

          ตำบลน้ำคำใหญ่ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอำเภอเมืองยโสธร ตามทางหลวงหมายเลข 2169 ตำบลน้ำคำใหญ่มีจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด 15 หมู่บ้าน แต่แหล่งชุมชนที่มีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาคือ บ้านน้ำคำน้อย ซึ่งประกอบด้วย 2 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 15 

                                     
         จากการสอบถามพบว่า การทำเครื่องปั้นดินเผาในหมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 15 มีแห่งละประมาณ 30 ครัวเรือน แต่ผู้ผลิตรายใหญ่ที่ประกอบอาชีพนี้เป็นอาชีพหลักโดยมีการผลิตตลอดปีส่วนใหญ่อยู่ในหมู่ที่ 2 ผู้ผลิต มีอายุตั้งแต่ 30-60 ปี เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเองเป็นส่วนใหญ่ บางรายเป็นผู้รับจ้างปั้น ช่วงเวลาที่ทำงานเครื่องปั้นดินเผามี 2 ช่วง คือ เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมและเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน ซึ่งหากไม่มีฝนก็จะสามารถทำได้ตลอดปี

ผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาของชุมชน
1. ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน ได้แก่ เตาฟืน เตาถ่าน หม้อดิน หม้อและเตาขนาดเล็ก (ชุดแจ่วฮ้อน) แอ่งน้ำ
2. ผลิตภัณฑ์ตกแต่งสวนและอาคาร ได้แก่ กระถาง แจกัน โคมไฟ
3. ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น โทน
ในการจำหน่ายส่วนใหญ่จะเป็นการขายปลีก โดยวางขายหน้าบ้านหรือไปเร่ขายในท้องถิ่น รวมทั้งขายส่งให้แก่พ่อค้าคนกลาง


สถานภาพของแหล่งดิน
               แหล่งดินบ้านน้ำคำน้อย ตำบลน้ำคำใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร แหล่งดินเหนียวที่ใช้ในการทำเครื่องปั้นดินเผาเดิมเป็นที่สาธารณะในลำห้วยทวนต่อมามีการทำฝายกั้นน้ำที่ลำห้วยทำให้น้ำท่วมขัง ปัจจุบันแหล่งดินได้จากหลุมดินลำห้วยบ้านน้ำคำน้อยบริเวณบึงหรือกุดเซียม แต่ส่วนใหญ่ซื้อดินวัตถุดิบมาจากอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพื้นที่นาส่วนบุคคลมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน ชาวบ้านต้องเดินทางซื้อดินเหนียวจากเอกชนมาใช้ ราคาซื้อขายประมาณ 500-700 บาทต่อรถบรรทุกเล็ก ชาวบ้านกลุ่มเครื่องปั้นดินเผาสามารถไปขุดเองหรือซื้อมาเก็บไว้ในโรงเก็บสำหรับใช้ปั้นหรือขึ้นรูปได้ทั้งปีซึ่งมีความสะดวกรวดเร็ว แต่ชาวบ้านยังขาดการจัดการในเรื่องของวัตถุดิบที่เหมาะสม ในอนาคตราคาดินเหนียวอาจจะสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน หรือขึ้นกับเจ้าของที่ดินเพราะแหล่งดิน ส่วนใหญ่เป็นที่นา นอกจากเจ้าของที่นา ต้องการขุดบ่อหรือสระน้ำจึงจะได้ดินปั้นในราคาถูกและ ยังไม่มีหน่วยงานปกครองท้องถิ่นเข้าไปจัดการในเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องปั้นดินเผาให้เหมาะสม
              ดังนั้น การสำรวจปริมาณดินเหนียววัตถุดิบจึงมีความสำคัญต่อหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาของบ้านน้ำคำน้อย ตำบลน้ำคำใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร เป็นอย่างมาก สำหรับแหล่งดินปัจจุบัน จากการประเมินด้วยการเจาะสำรวจแสดงการกระจายตำแหน่งจุดเจาะสำรวจ แบบละเอียด ด้วยสว่านเจาะดินแบบหมุนด้วยมือทั้งหมดจำนวน 28 หลุม คิดเป็นพื้นที่เจาะสำรวจประมาณ 32 ไร่ ในบริเวณพื้นที่กำหนด ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร


การกระจายของอนุภาคดินเหนียว


การเผาดินเชื้อของบ้านน้ำคำน้อย 


การหมักดินของบ้านน้ำคำน้อย


การขึ้นรูปดินเป็นทรงกระบอกและการตกแต่งปากผลิตภัณฑ์


การตกแต่งผลิตภัณฑ์ด้วยการนำน้ำดินแดงมาทาผลิตภัณฑ์



การเผาผลิตภัณฑ์กลางแจ้ง

การเผาผลิตภัณฑ์ในเตาเผา

มาตรฐานผลิตภัณฑ์
- ผลิตภัณฑ์ โทน ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 89/2546 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 เลขที่ 20908-3/89 (สิ้นอายุวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552) 
- ผลิตภัณฑ์ โทน ได้รับ OTOP ระดับหนึ่งดาว ประเภทของใช้/ ของตกแต่ง/ของที่ระลึก ปี พ.ศ. 2549

             เครื่องปั้นดินเผาเป็นภาชนะชุดแรกๆของมนุษย์เป็นการนำดินมาขึ้นรูปเป็นภาชนะต่างๆแล้วนำไปตากแห้ง  เครื่องปั้นดินเผาเป็นงานหัตถกรรม ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์มาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย มนุษย์นำเครื่องปั้นดินเผามาใช้ในด้านเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน การก่อสร้าง ตลอดจนการใช้ประกอบในพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อต่างๆและมีความผูกพันกับบ้านน้ำคำน้อยอย่างยิ่ง




           สีที่เขียนจะเป็นสีแดงหรือสีขาว มีลวดลายต่างๆเช่น ลายรูปสัตว์ลายเส้นเรขาคณิต ลายขดก้นหอย ลายเส้นโค้ง และยังมีการทำลวดลายคล้ายรูปอวัยวะเพศ ซึ่งอาจเป็นคติความเชื่ออย่างหนึ่งของคนในสมัยนั้นที่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร ได้แก่ พวกสัตว์และธัญพืชต่างๆ



                 เครื่องปั้นดินเผาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างแนบแน่นมาเป็นเวลายาวนาน ทั้งเพราะเครื่องปั้นดินเผาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นบนเงื่อนไขความต้องการของสังคมที่เป็นเจ้าของเป็นผลงานจากมันสมองและฝีมือที่แสดงของผู้สร้าง ซึ่งมิได้มีความหมายแต่เพียงคุณค่าทางสุนทรียะเท่านั้น หากแต่ยังเป็นงานช่างฝีมือที่แสดงถึงภูมิปัญญาและพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีของชุมชนที่สั่งสมและสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานาน












 

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาของบ้านน้ำคำน้อย
ตำบลน้ำคำใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
          ขอขอบคุณ>  คุณยายพร้อม ที่ให้ความกรุณาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องปั่นดินเผา
 

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตในภาษาไทย

 ประวัติภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต

          ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต จัดอยู่ภาษาอินเดีย-ยุโรป ซึ่งเป็นตระกูลภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย  พวกอารยันได้เข้ามาในอินเดีย เมื่อประมาณ 1,500 ปี ก่อนคริสตศักราช (ปรีชา ทิชินพงศ์, 2534 : 1) นักปราชญ์ทางภาษาได้แบ่งภาษาตระกูลอารยันในอินเดียออกเป็น 3 สมัย ดังนี้
  1. ภาษาสมัยเก่า หมายถึงภาษาที่ใช้ในคัมภีร์พระเวท ได้แก่ คัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท รวมตลอดทั้งคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งเป็นคัมภีร์สุดท้ายของคัมภีร์พระเวท (เวทานต์)   ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์ต่างๆ เหล่านี้จะมีความเก่าแก่ลดหลั่นกันมาตามลำดับ ภาษาสันสกฤตก็จัดอยู่ในสมัยนี้ด้วย
  2. ภาษาสมัยกลาง ได้แก่ ภาษาปรากฤตซึ่งเป็นภาษาถิ่นของชาวอารยันที่ใช้กันท้องถิ่นต่างๆ ของประเทศอินเดีย เช่นภาษามาคธี มหาราษฏรี เศารเสนี เป็นต้น   ภาษาในสมัยนี้มีลักษณะโครงสร้างทางเสียง และนอกจากจะเรียกว่าภาษาปรากฤตแล้วยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ภาษาการละคร” เพราะเหตุที่นำไปใช้เป็นภาษาพูดของตัวละครบางตัวในบทละครสันสกฤตด้วย
  3. ภาษาสมัยใหม่  ได้แก่ ภาษาต่างๆในปัจจุบัน เช่น ภาษาฮินดี เบงกาลี ปัญจาบี มราฐี เนปาลี เป็นต้น   ภาษาเหล่านี้แม้จะเข้าใจกันว่าสืบมาจากภาษาปรากฤต  แต่มีลักษณะของภาษาผิดกันมาก  เพราะมีภาษาตระกูลอื่นที่ไม่ได้สืบมาจากภาษาของชาวอารยันเข้าไปปะปนกันมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
ภาษาสันสกฤต
            ภาษาสันสกฤต เป็นภาษาที่มีวิวัฒนาการมาจากภาษาในคัมภีร์พระเวทของชาวอารยัน  ถือเป็นภาษาที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนชั้นสูง   แต่เดิมนั้นไม่ได้มีการวางหลักเกณฑ์เคร่งครัดนัก   ต่อมาเมื่อระยะเวลาล่วงไปนานๆ  ประกอบกับภาษาในคัมภีร์พระเวทนี้มีภาษาพื้นเมืองปะปนอยู่มาก   เป็นเหตุให้หลักเกณฑ์ต่างๆ ของภาษานี้คลาดเคลื่อนไปมาก  จนกระทั่งได้มีนักปราชญ์ของอินเดียคนหนึ่งชื่อ “ปาณินิ” ได้ศึกษาคัมภีร์พระเวททั้งหลาย  แล้วนำมาแจกแจงวางหลักเกณฑ์ให้เป็นระเบียบและรัดกุม แต่งเป็นตำราไวยากรณ์ขึ้นเรียกชื่อว่า “อัษฎาธยายี”  ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตำราไวยากรณ์เล่มแรกที่แต่งได้ดีที่สุดและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก   และต่อมาได้มีผู้เรียกภาษาที่ปาณินิได้จัดระเบียบของภาษาไว้เป็นอย่างดีและสมบูรณ์ที่สุดนี้ว่า “สันสกฤต”  ซึ่งแปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ได้จัดระเบียบและขัดเกลาเรียบร้อยดีแล้ว”   แต่กฎเกณฑ์ที่ปาณินิได้วางไว้นี้กลับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาษาสันสกฤตไม่มีวิวัฒนาการเหมือนภาษาอื่นๆ  เพราะนอกจากภาษาสันสกฤตจะถือว่าเป็นภาษาที่ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในหมู่ของนักปราชญ์ โดยเฉพาะกษัตริย์และพราหมณ์ที่เป็นบุรุษเพศ   กฎเกณฑ์และรายละเอียดปลีกย่อยยังทำให้ไม่เอื้อต่อการใช้  จึงทำให้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาตายในที่สุด
ภาษาบาลี
ภาษาบาลี เป็นภาษาปรากฤตภาษาหนึ่งที่มีวิวัฒนาการมาจากภาษาพระเวท   ภาษาบาลี คือ ภาษาที่ชาวมคธใช้พูดกันในแคว้นมคธ เรียกว่า “ภาษามาคธี” พระพุทธเจ้าทรงใช้ภาษานี้ประกาศพระศาสนาของพระองค์   ภาษามาคธีนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ (เจิม ชุมเกตุ, 2525:3)
  1. สุทธมาคธี เป็นภาษาของชนชั้นสูง คือภาษาของกษัตริย์หรือภาษาทางราชการ
  2. เทสิยา หรือ ปรากฤต ได้แก่ ภาษาประจำถิ่น
             พระพุทธเจ้าทรงใช้สุทธมาคธีเป็นหลักในการประกาศคำสั่งสอนของพระองค์  และในสมัยนั้นทรงเผยแผ่พระธรรมด้วยวิธีมุขปาฐะ  โดยมิได้มีบันทึกหรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร   ภาษาบาลีนี้นำมาใช้บันทึกพุทธวจนะเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 3   ปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในจารึกพระเจ้าอโศกมหาราช  ถือเป็นภาษาประจำพุทธศาสนานิกายหินยาน [เถรวาท]   ส่วนศาสนานิกายมหายานใช้ภาษาสันสกฤตบันทึกพุทธวจนะ (สุภาพร มากแจ้ง, 2535 : 4)   และต่อก็ใช้ภาษาบาลีจารึกพระธรรมลงในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นตำราหลักทางพระพุทธศาสนา    อย่างไรก็ตาม ภาษาบาลีก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับภาษาสันสกฤต  คือใช้เป็นภาษาเขียนในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาเท่านั้น   ไม่ได้ใช้พูดหรือใช้เขียนในชีวิตประจำวัน  จึงไม่มีการเจริญเติบโต ไม่มีวิวัฒนาการเหมือนกับภาษาอื่นๆ  และกลายเป็นภาษาตายในที่สุด
เหตุที่คำภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาปะปนในภาษาไทย
            เมื่อพระพุทธศาสนาได้แพร่เข้ามาในสู่ประเทศไทย  และคนไทยได้ยอมรับนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ   คนไทยจึงจำเป็นต้องเรียนภาษาบาลีและสันสกฤต  เพราะคำสอนทางศาสนาเป็นภาษาบาลีและสันสกฤต (สันสกฤต : มหายาน)    ดังนั้นจึงได้เกิดคำภาษาบาลีและสันสกฤตใช้ในภาษาไทยมากขึ้น (วิสันติ์ กฎแก้ว, 2529 : 1)   นอกจากการรับนับถือศาสนาพุทธแล้ว   ไทยยังได้รับเอาความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมต่างๆ  รวมทั้งวรรณคดีบาลีและสันสกฤตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย  ซึ่งเป็นส่วนทำให้เรารับคำภาษาบาลีและสันสกฤตซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เข้ามาใช้ในภาษาไทย
สุธิวงศ์ พงษ์บูลย์ (2523 : 5) ได้กล่าวถึงเหตุที่คำภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาปนอยู่ในภาษาไทยว่า  เนื่องมาจากเหตุผลหลายประการ   สรุปได้ดังนี้
  1. ความสัมพันธ์ทางด้านศาสนา  เมื่อศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย   ศาสนาพราหมณ์ใช้ภาษาสันสกฤต และศาสนาพุทธใช้ภาษาบาลี ในการเผยแผ่ศาสนา   ไทยได้รับศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ และรับคติของศาสนาพราหมณ์มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน  โดยเฉพาะในลัทธิธรรมเนียมประเพณีต่างๆ  เราจึงรับคำในลัทธิทั้งสองเข้ามาใช้ในลักษณะของศัพท์ทางศาสนา และใช้เป็นศัพท์สามัญทั่วไปในชีวิตประจำวัน
  2. ความสัมพันธ์ทางด้านประเพณี  เมื่อชนชาติอินเดียได้เข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย  ก็นำเอาประเพณีของตนเข้ามาปฏิบัติ ทำให้มีคำที่เนื่องด้วยประเพณีเข้ามาปะปนในภาษาไทย  และนานเข้าก็ได้กลายเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทย เช่น  ตรียัมปวาย มาฆบูชา  ตักบาตรเทโว  ดิถี กระยาสารท เทศน์มหาชาติ กฐิน จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ฉัตรมงคล พืชมงคล เป็นต้น
  3. ความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรม   อินเดียเป็นประเทศที่เจริญทางด้านวัฒนธรรมมานาน  อิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมของอินเดียมีต่อนานาประเทศทางภาคพื้นตะวันออกก่อนที่วัฒนธรรมตะวันตกจะเข้ามา  ไทยได้รับอิทธิพลของอินเดียทุกสาขา เช่น
    1. ศิลปะ   ศิลปะไทยได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม  เช่น ทางดนตรีและนาฏศิลป์   ภาษาที่ใช้เนื่องด้วยเป็นศิลปะจึงเข้ามาปะปนในภาษาไทย เช่น มโหรี ดนตรี ปี่พาทย์
    2. ดาราศาสตร์  อินเดียมีความเจริญทางด้านดาราศาสตร์มาช้านานจนมีตำราเรียนกัน  เมื่อวิชานี้แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย  ทำให้คำต่างๆที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น สุริยคติ จันทรคติ จันทรคราส
    3. การแต่งกาย  ศัพท์ทางด้านวัฒนธรรมการแต่งกายที่ได้รับมาส่วนใหญ่เป็นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ เช่น มงกุฎ ชฎา สังวาล
    4. สิ่งก่อสร้าง   คำภาษาบาลีและสันสกฤตที่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้าง ส่วนใหญ่เป็นศัพท์ที่เรียกชื่อสิ่งก่อสร้างทางศาสนาและราชวัง เช่น นภศูล ปราสาท เจดีย์
    5. เครื่องมือเครื่องใช้  เครื่องมือเครื่องใช้ที่ชาวอินเดียนำเข้ามาในประเทศไทย  ทำให้เราได้รับคำที่เรียกเครื่องมือเครื่องใช้นั้นๆเข้ามาใช้ด้วย เช่น อาวุธ ทัพพี คนโท
    6. การใช้ราชาศัพท์   การใช้ราชาศัพท์เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทย  ที่ต้องการแยกศัพท์ของคนสามัญชนออกจากศัพท์ที่ใช้กับพระราชาและเชื้อพระวงศ์  เป็นเหตุให้เรารับคำบาลีและสันสกฤต  ซึ่งถือว่าเป็นภาษาที่สูงเข้ามาใช้ เช่น พระเนตร พระบาท พระกรรณ บางคำก็รับเข้ามาเป็นคำสุภาพ เช่น บิดา มารดา ฯลฯ
  1. ความสัมพันธ์ทางด้านวิชาการ   เนื่องจากวิทยาศาสตร์และวิทยาการเจริญกว้างขวางขึ้น ทำให้คำที่เราใช้อยู่เดิมแคบเข้า  จึงจำเป็นต้องรับคำบาลี สันสกฤต เข้ามาใช้ เพื่อความเจริญและความสะดวก เช่น วิทยุ โทรทัศน์ แพทย์ เภสัช ฯลฯ
  1. ความสัมพันธ์ทางด้านวรรณคดี   วรรณคดีอินเดียมีอิทธิพลต่อวรรณคดีไทยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งวรรณคดีสันสกฤต และวรรณคดีที่เนื่องมาจากชาดกในพระพุทธศาสนา  เมื่อเรารับเอาวรรณคดีเหล่านี้เข้ามา  จึงมีศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวกับวรรณคดีเหล่านี้เข้ามามากมาย เช่น ครุฑ สุเมรู หิมพานต์ ฯลฯ
ลักษณะของภาษาบาลีและสันสกฤต
             ภาษาบาลีและสันสกฤตอยู่ในตระกูลภาษาที่มีวิภัตปัจจัย  คือเป็นภาษาที่ที่มีคำเดิมเป็นคำธาตุ  เมื่อจะใช้คำใดจะต้องนำธาตุไปประกอบกับปัจจัยและวิภัตติ  เพื่อเป็นเครื่องหมายบอกพจน์ ลิงค์ บุรุษ กาล มาลา วาจก   โครงสร้างของภาษาประกอบด้วย ระบบเสียง หน่วยคำ และระบบโครงสร้างของประโยค  ภาษาบาลีและสันสกฤตมีหน่วยเสียง 2 ประเภท คือ หน่วยเสียงสระและหน่วยเสียงพยัญชนะ ดังนี้
  1. หน่วยเสียงสระ
    หน่วยเสียงสระภาษาบาลีมี 8 หน่วยเสียง  คือ  อะ อา  อิ อี  อุ อู  เอ โอ
    หน่วยเสียงภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลี 8 หน่วยเสียง และต่างจากภาษาบาลีอีก 6 หน่วยเสียง เป็น 14 หน่วยเสียง คือ อะ อา  อิ อี  อุ อู  เอ โอ   ไอ เอา ฤ ฤา ฦ ฦๅ
  1. หน่วยเสียงพยัญชนะ
    หน่วยเสียงพยัญชนะภาษาบาลีมี 33 หน่วยเสียง  ภาษาสันสกฤตมี 35 หน่วยเสียง เพิ่มหน่วยเสียง ศ ษ
    ซึ่งหน่วยเสียงพยัญชนะทั้งสองภาษานี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ  พยัญชนะวรรค และพยัญชนะเศษวรรค
วิธีสังเกตคำบาลี  
  1. สังเกตจากพยัญชนะตัวสะกดและตัวตาม
    ตัวสะกด คือ  พยัญชนะที่ประกอบอยู่ข้างท้ายสระ ประสมกับสระและพยัญชนะต้น เช่น ทุกข์ (ก = ตัวสะกด)
ตัวตาม คือ ตัวที่ตามหลังตัวสะกด เช่น สัตย สัจจ ทุกข เป็นต้น   คำในภาษาบาลี จะต้องมีสะกดและตัวตามเสมอ โดยดูจากพยัญชนะบาลี มี 33 ตัว แบ่งออกเป็นวรรคดังนี้    
แถวที่12345
วรรค กะ
วรรค จะ
วรรค ฏะ
วรรค ตะ
วรรค ปะ
เศษวรรคย ร ล ว ส ห ฬ อํ
มีหลักสังเกตตัวสะกดดังนี้
  1. พยัญชนะตัวที่ 1 , 3 , 5 เป็นตัวสะกดได้เท่านั้น (ต้องอยู่ในวรรคเดียวกัน)
  2. ถ้าพยัญชนะตัวที่ 1 สะกด ตัวที่ 1 หรือตัวที่ 2 เป็นตัวตามได้ เช่น สักกะ ทุกข สัจจ  ปัจฉิม สัตต หัตถ บุปผา เป็นต้น
  3. ถ้าพยัญชนะตัวที่ 3 สะกด ตัวที่ 3 หรือ 4 เป็นตัวตามได้ในวรรคเดียวกัน เช่น  อัคคี พยัคฆ์ วิชชา อัชฌา พุทธ คัพภ (ครรภ์)
ง. ถ้าพยัญชนะตัวที่ 5 สะกด ทุกตัวในวรรคเดียวกันตามได้ เช่น องค์ สังข์ องค์ สงฆ์ สัมปทาน สัมผัส สัมพันธ์ สมภาร เป็นต้น
จ. พยัญชนะบาลี ตัวสะกดตัวตามจะอยู่ในวรรคเดียวกันเท่านั้นจะข้ามไปวรรคอื่นไม่ได้
2. สังเกตจากพยัญชนะ “ฬ” จะมีใช้ในภาษาบาลีในไทยเท่านั้น เช่น จุฬา ครุฬ อาสาฬห์ วิฬาร์ โอฬาร์ พาฬ เป็นต้น
3. สังเกตจากตัวตามในภาษาบาลี จะมาเป็นตัวสะกดในภาษาไทยโดยเฉพาะวรรค ฎ และวรรคอื่น ๆ บางตัว จะตัดตัวสะกดออกเหลือแต่ตัวตามเมื่อนำมาใช้ในภาษาไทย เช่น
บาลีไทย บาลีไทย
รัฎฐรัฐ อัฎฐิอัฐิ
ทิฎฐิทิฐิ วัฑฒนะวัฒนะ
ปุญญบุญ วิชชาวิชา
สัตตสัต เวชชเวช
กิจจกิจ เขตตเขต
นิสสิตนิสิต นิสสัยนิสัย
ยกเว้นคำโบราณที่นำมาใช้แล้วไม่ตัดรูปคำซ้ำออก เช่น ศัพท์ทางศาสนา ได้แก่ วิปัสสนา จิตตวิสุทธิ์ กิจจะลักษณะ เป็นต้น
วิธีสังเกตคำสันสกฤต มีดังนี้
  1. พยัญชนะสันกฤต มี 35 ตัว คือ พยัญชนะบาลี 33 ตัว + 2 ตัว คือ ศ, ษ
    ฉะนั้นจึงสังเกตจากตัว ศ, ษ มักจะเป็นภาษาสันสกฤต เช่น กษัตริย์ ศึกษา เกษียร พฤกษ์ ศีรษะ เป็นต้น   ยกเว้นคำไทยบางคำที่ใช้เขียนด้วยพยัญชนะทั้ง 2 ตัวนี้ เช่น ศอก ศึก ศอ เศร้า ศก ดาษ กระดาษ ฝรั่งเศส ฝีดาษ ฯลฯ
  2. ไม่มีหลักการสะกดแน่นอน   ภาษาสันสกฤต ตัวสะกดตัวตามจะอยู่ข้ามวรรคกันได้ ไม่กำหนดตายตัว เช่น อัปสร เกษตร ปรัชญา อักษร เป็นต้น
  3. สังเกตจากสระ   สระในภาษาบาลี มี 8 ตัว คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
    ส่วนสันสกฤต คือ สระภาษาบาลี 8 ตัว + เพิ่มอีก 6 ตัว คือ สระ ฤ ฤา ภ ภา ไอ เอา
    ถ้ามีสระเหล่านี้อยู่และสะกดไม่ตรงตามมาตราจะเป็นภาษาสันสกฤต เช่น ตฤณมัย ไอศวรรย์ เสาร์ ไปรษณีย์ ฤาษี คฤหาสน์ เป็นต้น
  4. สังเกตจากพยัญชนะควบกล้ำ ภาษาสันสกฤตมักจะมีคำควบกล้ำข้างท้าย เช่น จักร อัคร บุตร สตรี ศาสตร์ อาทิตย์ จันทร์ เป็นต้น
  5. สังเกตจากคำที่มีคำว่า “เคราะห์” มักจะเป็นภาษาสันสกฤต เช่น เคราะห์ พิเคราะห์ สังเคราะห์ อนุเคราะห์ เป็นต้น
  6. สังเกตจากคำที่มี “ฑ” อยู่ เช่น จุฑา กรีฑา ครุฑ มณเทียร จัณฑาล เป็นต้น
  7. สังเกตจากคำที่มี “รร” อยู่ เช่น สรรค์ ธรรม์ วรรณ บรรพต ภรรยา บรรณารักษ์ มรรยาท กรรม ทรรศนะ สรรพ เป็นต้น
ลักษณะการยืมคำภาษาบาลีและสันสกฤต
ภาษาบาลีและสันสกฤตเป็นภาษาตระกูลเดียวกัน  ลักษณะภาษาและโครงสร้างอย่างเดียวกัน ไทยเรารับภาษาทั้งสองมาใช้ พิจารณาได้ดังนี้
1. ถ้าคำภาษาบาลีและสันสกฤตรูปร่างต่างกัน  เมื่อออกเสียงเป็นภาษาไทยแล้วได้เสียงเสียงตรงกัน เรามักเลือกใช้รูปคำสันสกฤต  เพราะภาษาสันสกฤตเข้ามาสู่ภาษาไทยก่อนภาษาบาลี เราจึงคุ้นกว่า  เช่น
บาลีสันสกฤตไทย
กมฺมกรฺมกรรม
จกฺกจกฺรจักร
2. ถ้าเสียงต่างกันเล็กน้อยแต่ออกเสียงสะดวกทั้งสองภาษา มักเลือกใช้รูปภาษาสันสกฤตมากกว่าภาษาบาลี เพราะเราคุ้นกว่าและเสียงไพเราะกว่า เช่น
บาลีสันสกฤตไทย
ครุฬครุฑครุฑ
โสตฺถิสฺวสฺติสวัสดี
3. คำใดรูปสันสกฤตออกเสียงยาก  ภาษาบาลีออกเสียงสะดวกกว่า จะเลือกใช้ภาษาบาลี เช่น
บาลีสันสกฤตไทย
ขนฺติกฺษานฺติขันติ
ปจฺจยปฺรตฺยปัจจัย
4. รูปคำภาษาบาลีสันสกฤตออกเสียงต่างกันเล็กน้อย แต่ออกเสียงสะดวกทั้งคู่  บางทีเรานำมาใช้ทั้งสองรูปในความหมายเดียวกัน เช่น
บาลีสันสกฤตไทย
กณฺหากฺฤษฺณากัณหา, กฤษณา
ขตฺติยกฺษตฺริยขัตติยะ, กษัตริย์
5. คำภาษาบาลีสันสกฤตที่ออกเสียงสะดวกทั้งคู่  บางทีเรายืมมาใช้ทั้งสองรูป   แต่นำมาใช้ในความหมายที่ต่างกัน เช่น
บาลีสันสกฤตไทยความหมาย
กิริยากฺริยากิริยาอาการของคน
  กริยาชนิดของคำ
โทสเทฺวษโทสะความโกรธ
  เทวษความเศร้าโศก